วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555


มหาชาติ 
       มหาชาติ  เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ที่ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรและ เป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คนไทยรู้จักและคุ้ยเคยกับมหาชาติมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย  ดังที่ปรากฏในหลักฐานในจารึกนครชุม  และในสมัยอยุธยาก็ได้มีการแต่งและสวดมหาชาติคำหลวงในวันธรรมสวนะ  ส่วนการเทศน์มหาชาติเป็นประเพณีที่สำคัญในทุกท้องถิ่นและมีความเชื่อกันว่า  การฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียวจะได้รับอานิสงส์มาก
ผู้แต่ง    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
           กวีสำนักวัดถนน
           กวีวัดสังขจาย
           พระเทพโมลี (กลิ่น)
           เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ลักษณะคำประพันธ์     ความเรียงร้อยแก้ว  ร่ายยาว  กลบท  กลอนพื้นบ้าน
จุดมุ่งหมายในการแต่ง  เพื่อใช้ในการสวด  เทศนาสั่งสอน
           ความเป็นมา
           เวสสันดรชาดกนี้เป็นเรื่องใหญ่จัดรวมไว้ในมหานิบาตชาดกรวมเรื่องใหญ่ 10 เรื่องที่เรียกกันว่า ทศชาติ แต่อีก 9 เรื่อง ไม่เรียกว่ามหาชาติ คงเรียกแต่เวสสันดรชาดกเรื่องเดียวว่า มหาชาติ ข้อนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดประทานอธิบายว่า พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจนประเทศใกล้เคียงนับถือกันมาแต่โบราณว่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก สำคัญกว่าชาดกอื่น ๆ ด้วยปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง 10 บารมี
          อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ  การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์  ทั้ง 13 กัณฑ์จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้
          1.  เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว  จะมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า  พระนามว่า  ศรีอริยเมตไตย  ในอนาคต
          2.  เมื่อดับขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ จะเสวยทิพย์สมบัติมโหฬาร
          3.  เมื่อตายไปแล้วจะไม่ตกนรก
          4.  เมื่อถึงยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศรีอริยเมตไตย จะได้จุติไปเกิดเป็นมนุษย์
          5.  ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์  จะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอริยบุคคล  ในบวรพุทธศาสนา
           มูลเหตุการณ์เล่าเรื่องมหาชาติ
           คัมภีร์ธัมมบทขุททกนิกายกล่าวว่า  เรื่องเวสสันดรชาดกเป็นพุทธดำรัสที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ ขีณาสพสองหมื่นรูป  และพระประยูรญาติที่นิโครธารามหาวิหารในนครกบิลพัสดุ์  ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา  และพระวงศ์ศากยะบรรดาพระประยูรญาติไม่ปรารถนาจะทำความเคารพพระองค์  ด้วยเห็นว่าอายุน้อยกว่า
           พระองค์ทรงทราบความคิดนี้จึงทรงแสดงยมกปกฏิหาริ ย์  โดยเสด็จขึ้นเบื้องนภาอากาศแล้วปล่อยให้ฝุ่นละอองธุลีพระบาทตกลงสู่เศียรของ พระประยูรญาติทั้งหลาย  พระประยูรญาติจึงได้ละทิ้งทิฐิแล้วถวายบังคมพระพุทธเจ้า  ขณะนั้นได้เกิดฝนโบกขรพรรษ  พระภิกษุทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์จึงได้ทูลถาม  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  แล้วจึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก  หรือเรื่องมหาชาติให้แก่พระภิกษุและพระประยูรญาติ
          มหาเวชสันดรชาดก  เป็นชาดกที่มีความสำคัญมากกว่าชาดกอื่น ๆ เพราะพระบารมีของพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบริบูรณ์ในพระชาตินี้  มหาเวสสันดรชาดกทั้ง 10 บารมี  คือ

          ทานบารมี  = ทรงบริจาคทรัพย์สิน  ช้าง  ม้า  ราชรถ  พระกุมารทั้งสองและพระมเหสี
          ศีลบารมี  = ทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัดระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต
          เนกขัมมบารมี  = ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ประทับ ณ เขาวงกต
          ปัญญาบารมี  = ทรงบำเพ็ญภาวนามัยปัญญาตลอดเวลาที่ทรงผนวช
          วิริยาบารมี  = ทรงปฏิบัติมิได้ย่อหย่อน
          สัจจบารมี  = ทรงลั่นพระวาจายกกุมารให้ชูชก  เมื่อพระกุมารหลบหนีก็ทรงติดตามให้
          ขันติบารมี  = ทรงอดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ขณะที่เดินทางมายังเขาวงกต  และตลอดเวลาที่ประทับ ณ ที่นั่น  แม้แต่ตอนที่ทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระกุมารอย่างทารุณพระองค์ก็ทรงข่ม พระทัยไว้ได้
          เมตตาบารมี  = เมื่อพราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์  มาทูลขอช้างปัจจัยนาค  เนื่องจากเมืองกลิงคราษฎร์ฝนแล้ง  ก็ทรงพระเมตตตาประทานให้  และเมื่อชูชกมาทูลขอสองกุมาร  อ้างว่าตนได้รับความลำบากต่าง ๆ พระองค์ก็มีเมตตาประทานให้ด้วย
          อุเบกขาบารมี  = เมื่อทรงเห็นสองกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี  วิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ  ทรงบำเพ็ญอุเบกขา  คือทรงวางเฉย  เพราะทรงเห็นว่าได้ประทานเป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชกไปแล้ว
          อธิษฐานบารมี  = คือทรงตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สำเร็จโพธิญาณาเบื้องหน้าก็มิได้ทรง ย่อท้อ  จนพระอินทร์ต้องประทานความช่วยเหลือต่าง ๆ เพราะพระทัยอันแน่วแน่ของพระองค์

           เนื้อเรื่อง
           หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหารย์  ทำให้พระประยูรญาติละทิฐิยอมถวายบังคม  ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษ  พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า  ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก   หรือเรื่องมหาชาติ  ทั้ง 13 กัณฑ์  ตามลำดับ  ดังนี้

          กัณฑ์ที่ 1 ทศพรา พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร แต่ปางก่อนนั้นผุสดีเทวีเสวยชาติเป็นอัครมเหสีของพระอินทร์ เมื่อจะสิ้นพระชนมายุจึงขอกัณฑ์ทศพรจากพระอินทร์ได้ 10 ประการ ทั้งยังเคยโปรยผงจันทร์แดง ถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้าและอธิฐานให้ได้เกิดเป็นมารดาพระพุทธเจ้าด้วย พร 10 ประการนั้นมีดังนี้
1.  ขอให้เกิดในกรุงมัททราช  แคว้นสีพี
2.  ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
3.  ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
4.  ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
5.  ขอให้พระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
6.  ขอให้พระครรภ์งาม ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
7.  ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
8.  ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
9.  ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
10. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้

          กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์  พระนางผุสดีจุติลงมาเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช  เมื่อเจริญชนม์ได้ 16 ชันษา  จึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งสีวิรัฐนคร  ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า "เวสสันดร"  ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉันททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์ จึงได้นำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมี ให้นามว่า "ปัจจัยนาค"  เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ 16 พรรษา  พระราชบิดาก็ยกราชสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี  พระราชธิดาราชวงศ์มัททราช  มีพระโอรสชื่อ  ชาลี  พระธิดาชื่อกัณหา  พระองค์ได้สร้างโรงทาน  บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ  ต่อมาพระจ้ากาลิงคะแห่งนครกลิงคราษฎร์  ได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาคเพื่อให้ฝนตกในบ้านเมืองที่แห้ง แล้งกันดาร  พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคให้แก่พระเจ้ากาลิงคะ  ชาวกรุงสัญชัยไม่พอใจที่พระราชทานช้างคู่บ้านคู่เมืองไป  จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร

          กัณฑ์ที่ 3 ทานกัณฑ์  พระเวสสันดรทรงมหาสัตตสดกทาน  คือ  การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี  ชาลีและกัณหาออกจากพระนคร  จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตตสดกทาน  คือ  การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่  อันได้แก่  ช้าง  ม้า  รถ  โคนม  นารี  ทาสี  ทาสา  รวมทั้งสุราบาน  อย่างละ 700

          กัณฑ์ที่ 4 วนประเวศน์  เป็นกัณฑ์ที่สี่กษัตริย์เดินทางสู่เขาวงกต  เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับหน้าศาลาพระนคร  กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง  แต่พระเวสสันดรทรงปฏิบัติ  กษัตริย์เจตราชจึงมอบหมายให้พรานเจตบุตรผู้มีความเชี่ยวชาญชำนาญป่าเป็นผู้ รักษาประตูป่าไม้  กษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์ปลอดภัย  และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบอาศรม  ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของพระอินทร์  กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา

          กัณฑ์ที่ 5 ชูชก  ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชกพำนักในบ้านทุนวิฐะเที่ยวขอทานตามเมือง ต่าง ๆ เมื่อได้เงินถึง 100 กหาปณะ  จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมียแล้วออกเดินทางขอทานต่อไป  เมื่อเห็นว่าชูชกหายไปนานจึงได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว  เมื่อชูชกเดินทางมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูกชก  นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี  ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาของตน  หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา  ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อมาเป็นทาสรับใช้  เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพรานเจตบุตรผู้รักษาประตูป่า

          กัณฑ์ที่ 6 จุลพน พรานเจตบุตรหลงกลชูชก  ที่ได้ชูกลักพริกขิงให้พรานดู  อ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสัญชัยจะนำไปถวายพระเวสสันดร  พรานเจตบุตรจึงต้อนรับและเลี้ยงดูชูชกเป็นอย่างดีและได้พาไปยังต้นทางที่จะ ไปอาศรมฤๅษี

          กัณฑ์ที่ 7 มหาพน  เมื่อถึงอาศรมได้พบกับอจุตฤาษี  ชูกชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤาษีให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระ เวสสันดร  พร้อมพรรณนาหมู่สัตว์และพรรณไม้ตามเส้นทางให้ชูชกฟัง

          กัณฑ์ที่ 8 กัณฑ์กุมาร  เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก  พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพราก  รุ่งเช้าเมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้ว  ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร  สองกุมารลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระ  พระเวสสันดรจึงเสด็จติดตามหาสองกุมารแล้วมอบให้แก่ชูชก

          กัณฑ์ที่ 9 กัณฑ์มัทรี  พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดนทางกลับอาศรม  แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทางจนค่ำ  เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรสธิดาและพระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ  พระนางมัทรีจึงออกเที่ยวหาโอรสธิดาและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์  พระองค์ทรงตกพรทัยลืมตนว่าเป็นดาบสจึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง  เมื่อพระนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษ  พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสธิดาแก่ชูชกแล้ว  หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบกัน  พระนางมัทรีจึงได้ทรงอนุโมทนาในปิยบุตรทานนั้น

          กัณฑ์ที่ 10 สักรบรรพ  พระอินทร์เกรงว่าพระเวสสันดรจะประทานพระนางมัทรีให้แก่ผู้ที่มาขอ  จึงแปลเป็นพราหมณ์เพื่อมาทูลขอพระนางมัทรี  พระเวสสันดรจึงประทานให้พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้ สำเร็จพระสัมโพธิญาณ  เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน  พระอินทร์ในร่างพราหมณ์จึงฝากพระนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป  แล้วตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร 8 ประการ

          กัณฑ์ที่ 11 มหาราช  เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้  ส่วนตนเองปีนขึ้นไปนอนต้นไม้  เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมารจนเดินทางถึงกรุงสีพี  พระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายนั้นนำมายังความปีติปราโมทย์  เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้า  ทอดพระเนตรเห็นชูชกและกุมารทั้งสองพระองค์  ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน  ต่อมาชูชกก็ถึงแก่ความตายเพราะกินอาหารมากเกินขนาดจนไม่ย่อย  พระชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร  ในขณะเดียวกันเจ้านครลิงคราษฏร์ได้คืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี

          กัณฑ์ที่ 12 ฉกษัตริย์  พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา 1 เดือน กับ 23 วัน  จึงเดินทางถึงเขาวงกต  เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง เหล่า  ทำให้พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมาโจมจีนครสีพี  จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา  พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดร  และเมื่อทั้งหกกษัตริย์ได้พบกันทรงกันแสงสุดประมาณ  รวมทั้งทหารเหล่าทัพทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน  พระอินทร์จึงได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมกษัตริย์ให้หายเศร้าโศก และฟื้นพระองค์

          กัณฑ์ที่ 13 นครกัณฑ์  พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด  พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี  และเสด็จกลับสู่สีพีนคร  เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง  ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า  รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน  พระองค์จะประทานสิ่งใดให้แก่ประชาชน  ท้าวโกสีย์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว 7 ประการ  ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง  พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอาไปตามปรารถนา  ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง
ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม  บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ




วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แพทยศาสตร์

                      แพทยศาสตร์ (อังกฤษ: Medicine) เป็นสาขาของวิทยาศาสตร์สุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ   การดูแลสุขภาพและเยียวยารักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วย การแพทย์เป็นแขนงอาชีพที่ต้องใช้ทั้งความรู้และทักษะอย่างสูงแพทยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่มีความสำคัญ ผู้ประกอบอาชีพทางการแพทย์มักได้รับความนับถือในสังคม แพทยศาสตร์มีศาสตร์เฉพาะทางต่าง ๆ อีกมากมายเช่น กุมารเวชศาสตร์อายุรศาสตร์ศัลยศาสตร์ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยศาสตร์กระดูก)สูติศาสตร์,นรีเวชวิทยานิติเวชศาสตร์จิตเวชศาสตร์,รังสีวิทยาพยาธิวิทยาเวชศาสตร์ชุมชนอาชีวเวชศาสตร์เวชศาสตร์ฟื้นฟูเวชระเบียน,เวชสถิติ และอื่น ๆ อีกมากมาย และในแต่ละสาขายังแบ่งย่อยเป็นสาขาย่อยลงไปอีกตามอวัยวะหรือกลุ่มของโรค เช่น ศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก อายุรศาสตร์โรคไต เป็นต้น
คณะแพทยศาสตร์ในประเทศไทย
     การเรียนการสอนทางแพทยศาสตร์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกที่ โรงเรียนแพทยากร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น ณ โรงศิริราชพยาบาล ซึ่งก็คือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ขึ้น เพื่อผลิตแพทย์ให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชน นั่นคือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ขึ้นในส่วนภูมิภาคของประเทศคณะแรก ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 3 จากนั้น ได้จัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 4 ของประเทศ และเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของมหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้น ได้จัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นคณะแพทย์ศาสตร์แห่งที่ของประเทศ และมีคณะแพทย์ศาสตร์ อื่นๆอีก 19 แห่ง ทั่วประเทศ เช่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ฯลฯ ในปีการศึกษา 2553 มีสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนในวิชาแพทยศาสตร์ทั้งหมด 19 แห่ง
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
      หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต  จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการความรู้หลายสาขาวิชา  โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถคิดและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความใฝ่รู้ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นแพทย์  ที่ต้องติดตามความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี เพื่อมาประยุกต์ใช้ในวิชาชีพแพทย์ได้ตลอดชีวิต  นักศึกษาแพทย์รามาธิบดีจะได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้นำและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ  มีทักษะในการติดต่อสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นแพทย์ที่มีคุณธรรม จริยธรรมที่เหมาะสม ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในวิชาชีพเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
เนื้อหาของหลักสูตร
       การเรียนตลอดหลักสูตรของนักศึกษาแพทย์รามาธิบดี  ใช้เวลา6 ปี รวมจำนวน 253 หน่วยกิต แบ่งเนื้อหาการเรียนออกเป็น 3 ช่วง และเสริมด้วยวิชาเลือก คือ
ปีที่ 1  หมวดวิชาศึกษาทั่วไป  กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์  สังคมศาสตร์        ศิลปศาสตร์ การศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย
ชั้นปรีคลินิก ปีที่ 2 และ 3  ศึกษาการทำงานของร่างกายมนุษย์ในภาวะปกติและเมื่อเป็นโรคต่างๆ โดยบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์พื้นฐาน เช่น กายวิภาคศาสตร์  สรีรวิทยา  จุลชีววิทยา เภสัชวิทยา  พยาธิวิทยา  และการเรียนวิชาบทนำเวชศาสตร์คลินิก เพื่อฝึกฝนการซักประวัติ และทักษะการตรวจร่างกายระบบต่างๆ ได้อย่างถูกขั้นตอน รวมทั้งฝึกหัตถการกับหุ่น
ชั้นคลินิก ปีที่ 4 ถึงปีที่ 6  เรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริงในโรงพยาบาล ได้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมดูแลผู้ป่วย  ศึกษาอาการและการรักษาโรคผ่านการฝึกทักษะกับอาจารย์แพทย์สาขาต่างๆ  การพูดคุยกับผู้ป่วย ฝึกงานในห้องคลอดและห้องผ่าตัด  เข้าค่ายทักษะชีวิต เพื่อเรียนรู้ตนเองและผู้อื่น  และฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลในเขตชุมชนและต่างจังหวัดวิชาเลือกเสรี  เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาการ คุณธรรม  จริยธรรม  กีฬา  ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม  วิชาเลือกคลินิก  เพื่อเสริมประสบการณ์ในสาขาวิชาที่ตนเองสนใจ
สถานที่ศึกษาและแหล่งฝึกปฏิบัติ
ปี เรียนวิชาศึกษาทั่วไป ที่วิทยาเขตศาลายา มหาวิทยาลัยมหิดล  จังหวัดนครปฐม
ปีที่ 2 และ เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท
ปลายปีที่ 3 จนถึงปีที่ เรียนและฝึกปฏิบัติงานใน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  ศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัด เช่น จังหวัดนครราชสีมา พระนครศรีอยุธยาลพบุรี      สระบุรี  ขอนแก่น  ระยอง  ฉะเชิงเทรา  และ กาญจนบุรี
ปีที่ เพิ่มพูนประสบการณ์ทางคลินิก ที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาและโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี
กิจกรรมเสริมหลักสูตร
        ส่งเสริมให้นักศึกษาแพทย์มีความรอบรู้ มีทักษะในการพัฒนาตนเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  โดยมีชมรมนักศึกษาแพทย์รามาธิบดี (ชพร.) เป็นแกนนำในการจัดกิจกรรม เช่น งานเปิดโลกฝันสร้างสัมพันธ์สู่รามา งานมอบเสื้อ  กาวน์ งานคืนสู่เหย้า และทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนแพทย์อื่นๆ เช่น กีฬา 17 เข็ม  ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาตามความสนใจ  คือ
ชมรมวิเทศสัมพันธ์ และ English club ได้พบปะและเยี่ยมชมสถาบันแพทย์ทั่วโลก  ผ่านเครือข่ายองค์กรนักศึกษาแพทย์นานาชาติ
ชมรมดนตรีรามาธิบดี จัดประกวดร้องเพลงและงานแสดงดนตรี
ชมรมกีฬาและศูนย์ออกกำลังกาย  เช่น ฟุตบอล  แอโรบิค
ชมรมถ่ายภาพ อบรมเทคนิค ออก field trip ประกวดภาพถ่าย
กิจกรรมศึกษาแหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรมไทย
กิจกรรมแข่งขันตอบปัญหา Ramathibodi’s Medical Student Championship
 ระยะเวลาการศึกษา
   1 เป็นไปตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยบูรพา ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรี  พ.ศ. 2545
   2  การศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตร์ในระยะที่  1 และระยะที่  2  ใช้เวลาการศึกษาไม่เกิน ปี

โครงสร้างหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต
1.     จำนวนหน่วยกิตรวมตลอดหลักสูตร                                                                    265  หน่วยกิต
2.     โครงสร้างหลักสูตร
                ก.  หมวดวิชาศึกษาทั่วไป                                                                             30  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ                                                                      12  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาภาษาไทย                                                                            3  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร                       3  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์                                                          4  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาทางด้านสังคมศาสตร์                                                           3  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ                                                 2  หน่วยกิต
                                กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์                                                3  หน่วยกิต
                ข.  หมวดวิชาเฉพาะ                                                                                  229  หน่วยกิต
                               วิชาบังคับ                                                                                     225  หน่วยกิต
                                      กลุ่มวิชาแกน                                                                           19  หน่วยกิต
                                      กลุ่มวิชาพื้นฐานวิชาชีพ                                                             61  หน่วยกิต
                                      กลุ่มวิชาชีพ                                                                           145  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชน                           25  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์                                                       5  หน่วยกิต    
                                           - สาขาวิชาอาชีวเวชศาสตร์                                                   2  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาพื้นฐานทางคลินิกและเวชจริยศาสตร์                     4  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาสหสาขาทางคลินิก                                             25  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาที่ไม่มีการผ่าตัด                                                 37  หน่วยกิต
                                           - สาขาวิชาที่มีการผ่าตัด                                                     47  หน่วยกิต
                                วิชาเลือก                                                                                       4  หน่วยกิต
                ค.  หมวดวิชาเลือกเสรี                                                                                 6  หน่วยกิต
                                ให้เลือกเรียนรายวิชาใด ๆ อย่างน้อยอีก 6 หน่วยกิตจากรายวิชาที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยหรือเลือกเรียน
                                รายวิชาจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นทั้งภายในและภายนอกประเทศ
3.     รายวิชาในหลักสูตร
                รายวิชาในหลักสูตรเรียงลำดับตามหมวดวิชา ประกอบด้วย หมวดวิชาศึกษาทั่วไป  หมวดวิชาเฉพาะ  และหมวดวิชาเลือกเสรี  ในแต่ละหมวดวิชาจำแนกเป็นกลุ่มและเรียงรายวิชาตามเลขรหัส  หน่วยกิตของแต่ละรายวิชาระบุตัวเลขหน่วยกิตรวมไว้หน้าวงเล็บ  ส่วนตัวเลขภายในวงเล็บมี 3 ตัวเลข มีความหมายแสดงจำนวนชั่วโมงของการจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อสัปดาห์ตลอดภาคการศึกษา  เช่น
               3(2-2-5) หมายถึง  รายวิชา 3 หน่วยกิต  มีการเรียนการสอนภาคทฤษฎี 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
   ภาคปฏิบัติ 2 ชั่วโมง/สัปดาห์  และควรศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองนอกเวลาเรียน   ไม่เกิน  5 ชั่วโมง/สัปดาห์

4.     ความหมายของเลขรหัสวิชา
             รหัสรายวิชาประกอบด้วยตัวเลข 6 ตัว  แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
       ก.  ตัวเลข ตัวแรก  หมายถึง  สาขาวิชาของรายวิชานั้น ๆ ประกอบด้วย
                                เลขรหัส  107          หมายถึง    สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์
                                เลขรหัส  215          หมายถึง    สังกัดภาควิชาสังคมศาสตร์
                                                                                      คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
                                เลขรหัส  222          หมายถึง    สาขาวิชาภาษาอังกฤษ  สังกัดภาควิชาภาษาตะวันตก
                                                                                      คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
                                เลขรหัส  228          หมายถึง    สาขาวิชาภาษาไทย  สังกัดภาควิชาภาษาตะวันออก
                                                                                      คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
                                เลขรหัส  265          หมายถึง    สังกัดภาควิชารัฐศาสตร์
                                                                                      คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
                                เลขรหัส  302          หมายถึง    สาขาวิชาคณิตศาสตร์
                                                                                      สังกัดภาควิชาคณิตศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  303          หมายถึง    สาขาวิชาเคมี
                                                                                      สังกัดภาควิชาเคมี  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  306          หมายถึง    สาขาวิชาชีววิทยา
                                                                                      สังกัดภาควิชาชีววิทยา  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  308          หมายถึง    สาขาวิชาฟิสิกส์
                                                                                      สังกัดภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  310          หมายถึง    สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์
                                                                                      สังกัดภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  311          หมายถึง    สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหาร
                                                                                      สังกัดภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหาร  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  312          หมายถึง    สาขาวิชาสถิติ
                                                                                      สังกัดภาควิชาคณิตศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  316          หมายถึง    สาขาวิชาชีวเคมี
                                                                                      สังกัดภาควิชาชีวเคมี  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  317          หมายถึง    สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์
                                                                                      สังกัดภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์  คณะวิทยาศาสตร์
                                เลขรหัส  560          หมายถึง    กลุ่มวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชน  (ปฐมภูมิ-บริหาร)
                                เลขรหัส  562          หมายถึง    กลุ่มวิชาจิตเวชศาสตร์
                                เลขรหัส  564          หมายถึง    กลุ่มวิชาการแพทย์ทางเลือก
                                เลขรหัส  566          หมายถึง    กลุ่มวิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
                                เลขรหัส  568          หมายถึง    กลุ่มวิชานิติเวชศาสตร์
                                เลขรหัส  570          หมายถึง    กลุ่มวิชาพื้นฐานทางคลินิกและเวชจริยศาสตร์
                                เลขรหัส  572          หมายถึง    กลุ่มวิชาเวชศาสตร์เชิงประจักษ์
                                เลขรหัส  574          หมายถึง    กลุ่มวิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
                                เลขรหัส  576          หมายถึง    กลุ่มวิชาวิสัญญีวิทยา
                                เลขรหัส  578          หมายถึง    กลุ่มวิชารังสีวิทยา
                                เลขรหัส  580          หมายถึง    กลุ่มวิชาอายุรศาสตร์
                                เลขรหัส  582          หมายถึง    กลุ่มวิชากุมารเวชศาสตร์
                                เลขรหัส  590          หมายถึง    กลุ่มวิชาศัลยศาสตร์
                                เลขรหัส  592          หมายถึง    กลุ่มวิชาจักษุวิทยา และ โสต  ศอ  นาสิก  ลาริงซ์วิทยา
                                เลขรหัส  594          หมายถึง    กลุ่มวิชาออร์โธปิดิกส์
                                เลขรหัส  596          หมายถึง    กลุ่มวิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
                                เลขรหัส  601          หมายถึง    สังกัดคณะศิลปกรรมศาสตร์
                                เลขรหัส  651          หมายถึง    สังกัดวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย  อภัยภูเบศร
                                เลขรหัส  851          หมายถึง    สังกัดวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การกีฬา

       ข.  ตัวเลขตัวที่ 4  หมายถึง  ระดับชั้นปีที่กำหนดให้ศึกษารายวิชานั้น ๆ
       ค.  ตัวเลขตัวที่ 5 – 6  หมายถึง  อนุกรมรายวิชาที่ภาควิชาหนึ่งหรือโครงการหนึ่งรับผิดชอบ
หลักสูตรพิเศษ Ph.D., M.D.
         หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและแพทยศาสตรบัณฑิต เป็นโครงการสร้างอาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะวิทยาศาสตร์ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีวัตถุประสงค์ในการผลิตแพทย์นักวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อพัฒนาการแพทย์ของประเทศไทย โดยมีการคัดเลือกนักศึกษาผู้จบการศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่มีผลการเรียนดี และมีศักยภาพ แยกไปศึกษาจนสำเร็จระดับปริญญาเอก แล้วจึงกลับมาเรียนต่อชั้นคลินิกที่คณะแพทย์ต้นสังกัดจนสำเร็จเป็นบัณฑิตแพทย์
สาขาของแพทย์เฉพาะทาง
 อายุรแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์
สูตินรีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
ศัลยแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์  
จักษุแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
จิตแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
แพทย์โสตศอนาสิก - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
พยาธิแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา
รังสีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
วิสัญญีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
กุมารแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน

แนวทางในการประกอบอาชีพ
          การศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐนั้น รัฐต้องมีค่าใช้จ่ายโดยตรงต่อนิสิต -นักศึกษา แต่ละคนในอัตราที่สูงมาก ดังนั้นจึงถือว่าผู้ที่เข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ เป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน และจะต้องทำสัญญาที่จะปฏิบัติงานตามความต้องการของทางราชการเป็นเวลา 3 ปี (ยกเว้นผู้เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน) หลังจากปฏิบัติงานตามความต้องการของทางราชการเพื่อชดใช้ทุนแล้ว แพทย์ที่สนใจสามารถกลับเข้าศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นทั้งทางด้านวิชาการและ วิชาชีพ เช่นหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต หรือเข้ารับการฝึกอบรมในสาขาวิชาชีพหลักสูตร 3 ปี เพื่อวุฒบัตรแพทย์เฉพาะทางของแพทยสภา

ลักษณะงานที่ทำและความก้าวหน้า
       บัณฑิตแพทย์รามาธิบดี สามารถทำงานเป็นแพทย์ในระบบราชการ หรือในโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนได้  โดยหลังจากใช้ทุนแล้ว สามารถเลือกศึกษาต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถาบันในประเทศ และต่างประเทศตามสาขาที่สนใจ เช่น กุมารแพทย์ อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ สูติ-นรีแพทย์ จิตแพทย์ พยาธิแพทย์ทางนิติเวช ฯลฯ นอกจากงานรักษาผู้ป่วย  แพทย์ยังมีโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน วิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์  ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ สอนนักศึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาและผู้บริหาระดับสูงในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
การเข้าศึกษาแพทยศาสตร์ในประเทศไทย
      ปัจจุบันมีหน่วยงานชื่อว่า กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ทำหน้าที่จัดสอบคัดเลือกและประกาศผลนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเพื่อเข้ารับการศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการรับนักเรียนตามโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการ
การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทย
       การเรียนแพทยศาสตร์ในประเทศไทยใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไปเน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่า ปรีคลินิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่า ชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์เรียกระยะนี้ว่า เอกซ์เทอร์น (Extern)
แพทย์จบใหม่ในประเทศไทย
       เมื่อนักเรียนแพทย์ในประเทศไทยศึกษาจบแพทยศาสตรบัณฑิต บัณฑิตแพทย์ต้องมีการทำงานหรือการชดใช้ทุนของแพทย์เป็นเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ทำงานให้รัฐบาล ซึ่งหากผิดสัญญาต้องจ่ายค่าชดเชยให้รัฐตามแต่สัญญาซึ่งทำไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ารับการศึกษากำหนด ในปีแรกแพทยสภากำหนดให้มีการฝึกปฏิบัติงานเพิ่มเติมในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเรียกระยะนี้ว่า อินเทอร์น(Intern)
แพทย์เฉพาะทาง
         หลังจากที่บัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาออกมาและได้เพิ่มพูนทักษะตามจำนวนปีที่แพทยสภา (Medical concils of Thailand) เป็นผู้กำหนดแล้ว สามารถสมัครเพื่ออบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน (Medical Resident) และเมื่อจบหลักสูตรการอบรมและสามารถสอบใบรับรองจากราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆได้แล้ว จึงจะได้เป็นแพทย์เฉพาะทางได้ต่อไป